คำว่า “อาหาร” สำหรับพวกเราที่ไม่ได้เรื่องมากเรื่องการแดกแล้ว ก็คงหมายถึงอะไรที่เข้าสู่ร่างกาย ด้วยการดื่ม การกิน โดยมีเรื่องสุนทรียแห่งรสชาติอยู่บ้าง
ถ้าในนิยามนี้....
เราขอไม่เรียก อินทรีย์ใน 2 วันแรกที่ เชียงกรีล่านี้ ว่า “อาหาร”
อินทรีย์เหล่านี้ “ดู” คล้ายอาหาร มีขั้นตอนการใช้ความร้อน การใส่เครื่องชูรสเหมือนกัน
แต่ “รส” ไม่ใช่
มีเพียงแหล่งพลังงานพอเพียงประทังชีวิตเท่านั้นที่ได้จากมัน (จะว่าไป เราได้แคลอรี่จากเบียร์มากกว่าเสียอีก)
อันที่เป็นของแข็ง เหนียวเหมือนยาง
เนื้อสิ่งมีชีวิตที่นี่ส่วนใหญ่ทำจาก จามรี (Yak) สัมผัสเหนียว และกลิ่นสาบ คือเอกลักษณ์ของมัน
อันที่เป็นของเหลว รสเหมือนน้ำย่อย
ซุปรสติดหวาน ปะแล่มๆ บางเมนูมีรสเผ็ดชา จากหมาล่า
แต่แค่ย้ายเมืองไปลี่เจียง อาหารกลับดีขึ้นอย่างผิดลิ้น ผิดจมูก
เมนูมีให้เลือกมาก รสชาติดี
โดยเฉพาะ ไฮไลท์ของทริป ที่ร้าน V.Sherry
ขออนุญาตรีวิวสั้นๆ ฉบับขายตรง
ข้าวสวยนึ่งไอน้ำ เต็มเม็ด หอมนุ่ม
ปลาอะไรสักอย่าง (กีวี่เรียก สโนว์ฟิช) สดมากเพราะตักมาจากบ่อข้างๆ ที่เอามานึ่งไฟ ในซุปหมาล่า รสเผ็ดร้อน ชาลิ้น
ที่ตัดด้วยรสพิเศษจากกะหล่ำดองเปรี้ยว ทีเด็ดอยู่ที่หนังปลาที่หนาพอกำลังอิ่มน้ำซุป ตักกินกับข้าว ต้องบอกว่า อร๊ร๊ร๊อย อร่อย แบบใส่เขบ็ด สัก 3 ชั้น
เมนูเต้าหู้ที่เขาว่าหากินจากที่อื่นไม่ได้ เรียกว่าเข้าขั้น เนื้อเต้าหู้แน่น เนื้อนุ่ม ถูกใจเชฟเปื่อย จาก Pussy House จริงๆ
สวนเมนูยอดฮิต เคาหยก ที่นี่จะหั่นหมูบางให้เน้นกินกับผักดองที่ไม่เค็มมาก กินกับข้าวนี่ลงตัว
กุ้งผัดซอส นี่ใช้กุ้งขนาดกำลังดี กินได้ทั้งตัว
ใครมาลี่เจียงแนะนำเป็นอย่างยิ่ง รสชาติราชา ราคาเปาบุ้นจิ้น (ตกประมาน 1000 บาทครับ)
ส่วนมื้อสุดท้าย เราได้ลองหม้อไฟที่คุนหมิง ที่ด้านนึงเป็นซุปทะเล อีกด้านเป็นซุปล่า ซึ่งสุดท้ายมันก็เดือดมารวมกันพอดี
อากาศหนาวๆ ได้ซดซุปร้อนๆ พร้อมเบียร์ 1 ลัง ช่างเข้ากันดี
หนังท้องที่อิ่ม และความตึงจากดอกฮ็อปก็พร้อมส่งพวกเรานอนหลับบนเครื่องแบบไม่เขอะเขิน
ปล.ขอบคุณกีวี่ น้องซาลาเปา และคนในรถ ที่ทำให้เรามีตังค์เหลือกินมื้อนี้ (ประมาณ 2200 บาท รวมเบียร์)